คงไม่มีใครคิดท้าทายตัวเองด้วยการแข่งเดินเท้าในระยะทางหลายร้อยไมล์ โดยต้องรักษามาตรฐานระยะการเดินให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ต่ำกว่า 3 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือราว 4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) กันหรอก (มั้ง)
ถ้าการเดิมพันนั้นไม่ได้แลกมาด้วยเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์
เรากำลังพูดถึงภาพยนตร์เรื่อง The Long Walk หรือเกมเดินมรณะ ที่ดัดแปลงมาจากผลงานขึ้นหิ้งเล่มแรกของนักเขียนอย่าง สตีเวน คิง โดยมีผลงานแปลไทยที่มีชื่อเสียงในหมู่นักอ่านวรรณกรรมบ้านเราชื่อว่า ‘แข่งนรก’ เรื่องนี้คือสนามประลองการเดินสุดหฤโหดของผู้เข้าแข่งขันวัยรุ่น ม.ปลายห้าสิบคน ที่มีกฎ ‘บ้าๆ’ ว่าถ้าใครแหกคอกขึ้นมาในจังหวะการเดินที่ต่ำกว่าหรือมากกว่านี้ก็จะถูกเขี่ยลิ่วอย่างไร้ข้อกังขา
ความสมจริงของหนังนอกจากเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมของคุณลุงแล้วก็คือ ‘นักแสดง’ ในเรื่อง โดยเฉพาะแม็กฟรีส์ (เดวิด จอนส์สัน) และการ์แรตี (คูเปอร์ ฮอฟฟ์แมน) แล้ว หนังยังพูดถึง ‘มิตรภาพ’ และ ‘ความผูกพัน’ ระหว่างเด็กชายวัยรุ่น ม.ปลาย ซึ่งเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของเรื่องราวทั้งหมดไว้ด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ จาก The Hunger Games มากำกับ นั่นเพราะเขาประทับใจผลงานของสตีเวน คิง จนถึงกับนำไปพัฒนาบทแล้วสร้างเป็นหนัง ซึ่ง The Long Walk ก็เป็นหนังสือเล่มโปรดของเขาเมื่อ 18 ปีก่อน และเป็นจังหวะเดียวกับ ‘รอย ลี’ โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้บอกกับเขาว่าได้ลิขสิทธิ์ทำหนังด้วยพอดิบพอดี
จากผู้กำกับ The Hunger Games สู่การกำกับผลงานนักเขียนที่ชื่นชอบ
เท้าความก่อนว่า ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ คือผู้กำกับที่เชี่ยวชาญด้านการกำกับมิวสิกวิดีโอ โฆษณา และภาพยนตร์มากว่า 20 ปี ไม่ว่าจะมิวสิกวิดีโอเพลง Bad Romance (2009) ของ เลดี้ กาก้า หรือภาพยนตร์แฟรนไชส์ The Hunger Games (2012-2023) ถือเป็นข้อพิสูจน์ตัวตนในฐานะผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์และก้าวข้ามข้อจำกัดหลากหลายได้
ซึ่งในบทสัมภาษณ์ฟรานซิสได้เล่าว่า ผลงาน The Long Walk ของคุณลุงได้เขียนถึงเรื่องนี้ตอนที่เขาอายุพอๆ กับตัวละครหลักของเรื่องอย่างเช่นแม็กฟรีส์และการ์แรตีอย่างเหมาะเหม็ง ที่ถึงแม้เรื่องราวจะเต็มไปด้วยความกดดันและความรุนแรง แต่องค์ประกอบในความสัมพันธ์ของตัวละครและบทสนทนาของเรื่องนี้ไม่เคยตกยุค นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผลงานจากหนังสือสู่จอภาพยนตร์ถึงได้งดงามสมค่า
หนังที่เล่นกับจิตใจคนดูได้อย่างบ้าคลั่ง
อย่างที่รู้กันว่า ในต่างประเทศมีไวรัลขำขันของหนังเรื่องนี้ผ่านสื่อโซเชียลออกมาว่า ระหว่างรอบฉายพิเศษของภาพยนตร์ The Long Walk ทางทีมงานมีการเตรียมลู่วิ่งเอาไว้สำหรับชาวอินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งพวกเขาจะต้องเดินบนลู่วิ่งพร้อมกับดูหนังไปด้วย ดูเป็นการสร้าง Interaction ด้วยไอเดียบรรเจิดที่เห็นแล้วอยากปรบมือให้ดังๆ
ตัดภาพมาที่คนดูอย่างเรา อาจจะแย่ตรงที่หนังเรื่องนี้ทำเราต่อมน้ำตาพังตั้งแต่ต้นเรื่อง นี่มันหนังบ้าเอาเรื่องชัดๆ เลย
เพราะเรื่องราวเริ่มจาก ‘แม่’ (จูดี้ เกรียร์) ของการ์แรตีมาส่งเขาที่จุดสตาร์ตเพื่อเข้าสู่การเริ่มหมากเกมเดินมรณะ แค่ฉากแรกที่การ์แรตีโผเข้ากอดแม่ของเขาแล้วพูดราวกับเป็นการร่ำลาครั้งสุดท้ายว่า ผมรักแม่มากกว่า… แค่นี้คงพอที่จะคลายปมบางอย่างได้บ้างแล้ว
ความห่ามของหนังเริ่มตั้งแต่องก์แรกๆ ที่หนังค่อยๆ ประโคมให้เราเห็นภาพสะท้อนถึงมิตรภาพและความผูกพันของผู้คนในชีวิตเรามากขึ้นๆ ไม่ว่าจะแม่ ยาย เพื่อนสนิท มิตรสหาย คนที่คอยซัพพอร์ต หรือใครๆ ที่ล้วนมีอิทธิพลต่อใจเราโผล่ออกมาจนหมดเม็ด และทุกการกระทำของตัวละครก็เริ่มเดจาวูอย่างบ้าคลั่งซึ่งเสียดแทงจิตใจคนดู (อย่างเรา) ลงไปอย่างซื่อตรงดื้อๆ อย่างนั้นเลย
เกมการต่อสู้ด้วยยอดพีระมิด
ในแต่ละองก์แต่ละฉาก ตัวละครในหนังเดินเรื่องด้วยการ ‘เดิน’ ไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและโรยแรงในคราวเดียว ทั้งการ์แรตี แม็กฟรีส์ และพรรคพวกต่างเดินมุ่งไปข้างหน้าราวกับไร้เส้นชัย เจอทั้งมรสุมกระหน่ำ ลมหนาว อากาศร้อน ตัดสลับกับทางเดินลาดชัน ขรุขระ ราบเรียบ แต่เอาเข้าจริง ทางเดินนั้นกลับเต็มไปด้วยขวากหนามคอยขวางกั้น ‘จิตใจ’ ของผู้เข้าแข่งขันที่ต้องเอาชนะมัน
หมากเกมเดินมรณะผ่านไปไมล์แล้วไมล์เล่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าความตึงเครียด ความกดดัน และด้วยลุคของหนัง จึงเห็นภาพรวมที่ให้ความรู้สึกเหมือนมองดูเกมการต่อสู้และล่าเหยื่อโดยผู้ที่มีอำนาจ และผู้ที่อ่อนแอกว่าจึง ‘ต้อง’ ลุกขึ้นมาต่อกร แต่สุดท้ายก็แพ้ราบคาบอย่างไม่มีทางเลือกไปทีละคนๆ
ว่ากันให้เห็นง่ายๆ ถ้าไล่เรียงโดยนึกถึงภาพของยอดพีระมิด เริ่มจากด้านบนสุดคือผู้กุมอำนาจ คือ เดอะ เมเจอร์ (มาร์ก แฮมิลล์) ต่อมาเป็นผู้รับคำสั่งหญิงชายในชุดเครื่องแบบที่พร้อมปฏิบัติการต่อความไม่ปรานีได้ทุกเมื่อ ลดหลั่นลงมาคือผู้เข้าร่วมการแข่งขันในเกมเดินมรณะ ทั้งยอดพีระมิดนี้ต่างสัมพันธ์กัน แต่ฐานด้านล่างสุดได้สร้างรอยร้าวเรื่อยๆ จนล้มเอนลงในที่สุด
แต่ที่พีคที่สุดคือ ต่อให้เดินไปไกลสักกี่ไมล์ เวลาจะผ่านไปนานสักกี่วัน เหล่าผู้เข้าแข่งขันเผยให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ บางคนเก็บกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ในขณะที่บางคนกลัวการไปถึงเป้าหมายเลยเลือกทำสิ่งที่ไม่คาดคิดแบบที่จู่ๆ ก็อ้าปากค้าง เหมือนกับชีวิตของพวกเขาที่คาดเดาอะไรไม่ได้ในทุกวินาที
อย่าลืมคนที่เคยเดินร่วมทางมากับเรา
สำหรับเรา คิดว่าอาจเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากงานเขียนของคุณลุง จึงทำให้เรารู้สึกเหมือนกับตัวเองค่อยๆ ละเลียดอ่านงานเขียนของแก ที่ทั้งสุนทรีย์กับการเข้าอกเข้าใจชีวิตเสียเหลือเกิน กลับกันก็เหมือนเป็นการ ‘แฉ’ ชีวิตของมนุษย์ที่ตุปัดตุเป๋ให้เห็นกันโจ่งแจ้ง
ช่วงที่หนังดำเนินไปราวๆ กลางเรื่อง เราเห็นฉากที่สะท้อนถึง ‘จิตใจ’ ของมนุษย์ในเกมบ้าคลั่งนี้ถึงที่สุด เพราะเป้าหมายตรงกันของผู้เข้าแข่งขันคือ เงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ แต่ระหว่างทางมันไม่เคย ‘ง่าย’ สำหรับพวกเขา การฝ่าฟันไปถึงจุดหมายปลายทางเลยทำให้บางคนถึงขั้นสติกระเจิงในแบบที่เราไม่เคยเห็นมุมมืดของมนุษย์ที่มีทั้งความบ้าจี้และความเรียลในลักษณะนี้มาก่อน
จึงสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับฟรานซิส ที่เขายืนยันว่าไม่เคยมีโอกาสได้ถ่ายทำแบบนี้ที่เริ่มต้นขึ้นในแมนิโทบา ประเทศแคนาดา ด้วยสภาพภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ด้วยทิวทัศน์ที่ดูสับสนและดูแทบไม่เปลี่ยน ตรงนี้เขาจึงเห็นว่าช่วยเสริมความรู้สึกของจิตใต้สำนึกว่าจะต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหน และนานเท่าไรกว่าจะถึงจุดหมาย
เขายังบอกอีกว่า ถ้าเห็นบางคนเดินกะเผลกอยู่ในหนัง นั่นเป็นเพราะพวกเขาหมดแรงจริงๆ นักแสดงหลายคนน้ำหนักลดลงไปหลายกิโล เพราะต้องปรับตัวตามสภาพอากาศ มีสิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นและทำให้แต่ละฉากและการลำดับภาพส่งผลทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี หลักใหญ่ใจความของหนังเรื่องนี้คือการเผยให้เห็นถึงสภาพ ‘สังคม’ ในยุคที่อเมริกาอยู่ในช่วงตกอับ แต่ในความตกอับก็ได้เห็นถึงการเอาชีวิตรอดเพื่อปากท้องซึ่งเป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็เผชิญ
ฟรานซิสทิ้งท้ายว่า ถึงแม้ความฝันลมๆ แล้งๆ ของชาวอเมริกันจะจบไปแล้ว แต่สังคมในอเมริกันทุกวันนี้คนก็แทบไม่มีทางหาเงินพอที่จะเลี้ยงปากท้อง แต่ทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ ซึ่งเรื่องราวของชายวัยรุ่นที่สิ้นหวังจนยอมเข้าร่วม ‘เกมเดินมรณะ’ เพื่อหาเงินมายาไส้ คือสิ่งที่ยังคงร่วมสมัยและไม่มีวันตกยุค
บทสรุปในฉากสุดท้ายระหว่าง ‘แม็กฟรีส์’ กับ ‘การ์แรตี’ แม้จะดูเชยไปบ้าง แต่นั่นก็บอกกับเราได้ดีเลยว่า เอาเงินกองไว้ตรงนั้นก่อน แต่อย่าลืมมิตรภาพหรือคนที่เดินร่วมทางมากับเรา