[title]
*ต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์*
อำนาจความเป็นชายมันดูยิ่งใหญ่เกินต้าน แก่นแกนของหนังเรื่องนี้บอกเราแบบนั้น
หลังจาก ซองแดงแต่งผี ของค่าย GDH ร่วมกับ Billkin และ PP Krit Entertainment ได้รับกระแสความนิยมอีกครั้งพร้อมขึ้นชาร์จอันดับหนึ่งทางเน็ตฟลิกซ์ไปเมื่อไม่กี่วัน เรื่องนี้รีเมคจากหนังไต้หวันแนวดราม่าคอมเมดี้ยอดนิยมอย่าง Marry My Dead Body (2022) ที่ได้นักแสดงคู่จิ้นเอาเรื่อง อย่างพีพี-กฤษฏ์ และบิวกิ้น-พุฒิพงศ์ กำกับโดย หมู-ชยนพ บุญประกอบ (แม้บทสัมภาษณ์ของเขาจะบอกว่าทำหนังตลกก็จริง ซึ่งตัวเขาเองเป็นคนไม่ตลก แต่เชื่อเถอะว่าเขาน่ะเหมาะ!) และมีโต้ง-บรรจง คอยเป็นมือโปรดิวเซอร์ให้
หนังดำเนินไปด้วยตัวเอกของเรื่องคือตี่ตี๋ (พีพี-กฤษฏ์) เรื่องใหญ่ดันเกิดเพราะตี่ตี๋โดนรถชนตาย จนไปมาอีท่าไหนไม่รู้ อยู่ๆ อาม่า (ปุ๊-ปิยะมาศ) เกิดอยากให้ตี่ตี๋แต่งงาน แล้วจะแต่งยังไงในเมื่อหลานกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว แต่นั่นคือสิ่งที่ตัวละครทั้งหมดจะต้องเจอกับความโกลาหล

ภารกิจตามหาเจ้าบ่าวจึงเริ่มขึ้น และคนที่เจอกับซองแดงเท่านั้นถึงจะแต่งงานกับตี่ตี๋ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ซองแดงเปล่าๆ แต่มีเศษผมเศษเล็บของตี่ตี๋ใส่รวมกันอยู่ในนั้น แล้วใครจะรู้ว่าวันดีคืนดี เม่น (บิวกิ้น-พุฒิพงศ์) -โจรที่กลับใจอยากเป็นตำรวจ- ดันไปเจอซองแดงตกอยู่บนพื้นห้องของตัวเอง หลังจากนั้นมิตรภาพระหว่างคนกับวิญญาณจึงค่อยๆ ก่อตัว
สำหรับเราเป็นหนังที่เปิดฉากมาก็เห็น ‘ความต่าง’ ที่ยังไม่เปิดใจยอมรับกันระหว่างเม่นและตี่ตี๋ รวมถึงการที่เม่น ‘ผลักไส’ ตี่ตี๋ออกไปโดยที่ยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีเลยด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงน่าสนใจตรงที่หนังแผ่ประเด็นให้เห็นถึงพื้นที่ที่ให้อำนาจของผู้ชายยังดำรงอยู่ และความเชื่อบางอย่างที่ยังลอยวนอยู่กับที่ ซึ่งคนดูท้ายแถวอย่างเราก็แทบนึกไม่ถึง

อย่างพื้นที่แรกคือ บ้านของตี่ตี๋ ซึ่งพ่อ (สังข์-ธีรวัฒน์) หรือป๊าเป็นหัวหน้าครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ตี่ตี๋ไม่เคยลงรอยกับพ่อตัวเองเลย อาจเพราะตอนเด็กตี่ตี๋ใช้เวลาว่างไปกับงานอดิเรกแบบที่ผู้หญิงเขาทำกัน อย่างเล่นตุ๊กตา เย็บปักถักร้อย ซึ่งเราชอบการโฟกัสไปยังตุ๊กตาคล้ายบัมเบิลบีในเรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ที่สวมกระโปรงสั้นระบายสีชมพู ซึ่งมันสื่อถึงความเป็นหญิงที่ซ่อนในคราบผู้ชายได้โดยไม่บกพร่อง แต่นั่นแหละ ตี่ตี๋ก็จะสนิทกับอาม่าเป็นพิเศษ เพราะอาม่ามักจะเป็นฝ่ายไกล่เกลี่ยระหว่างตี่ตี๋กับพ่อ และพร้อมจะเข้าใจตี่ตี๋เสมอ แถมยังมีเพื่อนรู้ใจเป็นหมาพันธุ์ชิสุชื่อตอม่อด้วย

หรือถ้าพูดถึงพื้นที่อย่าง ค่ายมวย ก็อาจจะนึกถึงภาพของสนามมวยลุมพินี ไม่ก็สนามมวยราชดำเนิน สถานที่ที่ไม่ว่ายังไงก็แสดงออกถึงความเป็นชายทะลุปรอท เรานับถือนักแสดงที่เข้าฉากในค่ายมวยมากๆ โดยเฉพาะเสี่ยโจ้ (จาตุรงค์ มกจ๊ก) ที่รับบทเป็นทั้งเจ้าของค่ายมวยพ่วงเจ้าพ่อค้ายา คนนี้คือตัวตั้งตัวตีของเหตุการณ์อลหม่านทั้งมวล ซึ่งค่ายมวยในเรื่องยังเผยให้เห็นถึงพื้นที่หลบซ่อนของเหล่าเพศที่สาม ที่ถ้าไม่ถูกพูดถึงก็ไม่มีใครรู้

แต่ฉากที่แสดงให้เห็นว่า ‘พื้นที่แสดงอำนาจความเป็นชาย’ ร่อยหรอลงไปได้ก็คือ ฉากที่เจ๊ก๊อย (ก้อย-อรัชพร) ตำรวจสาวที่เม่นแอบชอบได้ฉายภาพ Power Woman ที่มีความมั่นใจและตัดสินใจเด็ดขาด แต่ฉากนี้อาจจะเห็นความขัดแย้งของตัวละครหน่อยๆ ตรงที่มีความทับซ้อนระหว่างชาย-หญิง แต่แล้วความเป็นหญิงกลับดีดกระโจนก้าวข้ามความเป็นชายออกไปอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว

แม้แต่สถานที่ที่ไม่แม้แต่จะนึกถึงอย่าง ศาลเจ้า ตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์และโชคลาภ ถ้านึกถึงศาลเจ้าก็มักจะนึกถึงสีแดงจัดๆ สิ่งเหล่านี้อาจสื่อถึง ‘สิ่งๆ หนึ่ง’ ที่ไม่มีวันทำอะไรผิดเพี้ยนไปจากกรอบของวัฒนธรรมประเพณีได้เลย เพราะศาลเจ้าเป็นตัวแทนของความดี การเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่หนังกลับใช้พื้นที่อย่างศาลเจ้าเป็นตัวแทนผ่านนักแสดงตลกอย่างซินแส (แอนนา ชวนชื่น) ที่พลิกภาพลักษณ์อันขลังขรึมของศาลเจ้าให้ดูซอฟต์ลง

อีกฉากที่ขำขื่นในลำคอและคิดอะไรได้เยอะ เห็นจะเป็นฉากในเกย์คลับที่โชว์พาวเวอร์ด้วยกันเอง (เช่นฉากหน้าประตูทางเข้าผับ หรือกลุ่มแดนเซอร์เหล่า LGBTQA+ เต้นหน้าฟลอร์โชว์ ‘อำนาจ’ ให้เม่นเห็นก็ด้วย) และฉากที่เม่นถือโอกาสลวนลามแรมโบ้ (รัศมีแข) ในการสืบหาของลับบางอย่าง ทำให้เห็นว่าแรมโบ้โดนกระทำโดยที่ไม่ค่อยจะแฟร์สำหรับอีกฝ่ายเท่าไรนัก

ส่วนอีกพื้นที่ที่เป็นเกราะกำบังความทุกข์ร้อนของคนเช่นที่ สถานีตำรวจ คือพื้นที่แสดงออกของผู้นำและความเข้มแข็ง แต่ความจริงแล้วนี่คือพื้นที่ต้องห้ามที่แม้แต่ความอ่อนแอก็ไม่ควรย่างกราย ใครจะรู้ว่าแวดล้อมรอบตัวเหล่านี้อาจมีผลให้พวกเขารู้สึกว่านี่คือพื้นที่ที่อาจกำลังกดทับบางสิ่งบางอย่างและไม่มีทางเป็นตัวเองได้เลยสักที

มาถึงตรงนี้ถ้ามองพื้นที่แห่งอำนาจเหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมา เรากลับเห็นอีกมิติที่ไม่ใช่แค่หนังคอมเมดี้ แต่เราเห็นอีกมิติของตี่ตี๋ซึ่งเขาเป็นคนที่ไม่เคยได้เผยความรู้สึกจริงๆ กับคนรักของตัวเอง เป็นวิญญาณที่ยังค้างคา และยังอยากได้รับการปลดปล่อยอิสรภาพจากพ่อของตัวเอง โดยประเด็นพวกนี้แฝงอยู่ใต้เสียงหัวเราะ (ขื่นๆ) แต่ตี่ตี๋ก็เป็นมากกว่าภาพในอุดมคติของหลายคนซึ่งเติมเต็มบนพื้นที่แห่งความทรงจำของคนดูไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ในไต้หวันจะเปิดกว้างเรื่องเพศที่สามไปกว่าบ้านเราตั้งหลายขุม แต่การฟันฝ่าเพื่อเป็นที่ยอมรับของพวกเขาได้ผ่านการต่อสู้กันอย่างหนัก ซึ่งเห็นได้จากสารคดีของชาว LGBTQA+ ที่ทาง Doc Club เคยนำมาฉายในบ้านเราเมื่อปี 2019

ท้ายที่สุดแล้วเพศที่สามจะถูกมองหรือเชื่อกันไปต่างๆ ยังไง ขอแค่เรามองเห็นเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งให้ได้ก่อนก็พอ