ข่าว

โครงการโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ เดินหน้าปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่าสองล้านต้นทั่วกรุงเทพฯ

จุดเริ่มต้นของเมืองสีเขียวกำลังจะกลับมาหายใจได้อีกครั้ง

Yokploy Chandrabha
เขียนโดย
Yokploy Chandrabha
Staff writer, Time Out Thailand
Two million trees strong
Photographer: Chadchart Sittipunt
การโฆษณา

ครั้งหนึ่ง กรุงเทพมหานครเคยได้รับฉายาว่า  ‘เวนิสแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ อย่างภาคภูมิใจ ด้วยภาพคลองขนาบข้างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ และทางเดินที่ร่มรื่นเย็นสบาย แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายทศวรรษ ด้วยการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว การขยายถนน รวมถึงแรงกดดันจากเหล่านักลงทุนทางอสังหาริมทรัพย์ ความเขียวขจีเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไปทำให้หลังจากช่วงต้นปี 2543 พื้นที่สีเขียวในเขตเมืองก็เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นเหตุให้ปัจจุบันนี้มหานครของเรากลับกลายเป็นป่าคอนกรีตไปแล้วอย่างเต็มรูปแบบ

แต่สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อแคมเปญ ‘BangkokTree’ ที่อาจกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ เมืองหลวง เพราะ ณ ปัจจุบันนี้ ทางโครงการได้ดำเนินการปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่าสองล้านต้น ทั่วกรุงเทพฯ โดยข้อมูลจากกรุงเทพมหานครระบุว่า ได้ดำเนินการปลูกไม้ยืนต้นไปแล้วกว่า 1.1 ล้านต้น ทั้งไม้พุ่ม 690,000 ต้น และไม้เลื้อยหรือคลุมดินกว่า 180,000 ต้น โดยขณะนี้แคมเปญกำลังมุ่งสู่เป้าหมายถัดไปนั่นก็คือ การปลูกต้นไม้ให้ได้ถึงสามล้านต้น

โดยเป้าหมายของ BangkokTree ไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ในสวนสาธารณะเพียงอย่างเดียว เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในจุดที่หลายคนนึกไม่ถึง เช่น ที่ดินเปล่า พื้นที่ข้างทางรถไฟ ทางเท้า เกาะกลางถนน ใต้ทางด่วน ใต้รางรถไฟฟ้า พื้นที่ว่างข้างอาคาร รวมถึงริมแม่น้ำลำคลองต่างๆ ด้วย

แคมเปญ ‘BangkokTree’ ได้เริ่มต้นขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ปี 2565 โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ออกแบบโครงการปรับโฉมเมืองใหม่ด้วยต้นไม้ และยังกล่าวถึงแถลงการณ์จริงจังในเรื่องการ แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ แนวทางการลดความร้อนในเมือง และการเชื่อมโยงคนกรุงเทพฯ กลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ โดยใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 2 ปี เท่านั้น ก็สามารถปลูกต้นไม้ได้มากถึงหนึ่งล้านต้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และในวันนี้กรุงเทพฯ ก็กำลังเร่งดำเนินการสู่เป้าหมายต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ

แน่นอนว่า ปัญหาความร้อนและมลภาวะของกรุงเทพฯ ก็ยังคงอยู่กับเรา และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อย่างใด เพราะกรุงเทพฯ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ติดอันดับค่าฝุ่น PM2.5 เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และด้วยเมืองที่เต็มไปด้วยคอนกรีตหนาทึบเช่นนี้ ก็ยิ่งส่งผลให้ระดับความร้อน พุ่งสูงขึ้นแบบทวีคูณ แม้จะฟังดูน่าทึ่งที่พวกเขาสามารถปลูกต้นไม้ได้มากถึงสองล้านต้น ภายในเวลาไม่กี่ปี แต่หัวใจหลักที่แท้จริงแล้ว ‘ขนาด’ และ ‘กลยุทธ์’ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะการปลูกต้นไม้ไม่ใช่แค่เรื่องจำนวน แต่ต้องเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม ปลูกในพื้นที่ที่ถูกต้อง และต้องดูแลให้รอดด้วย ต้นกล้าเล็กๆ ที่ปลูกอยู่ริมถนนนั้นอาจนับเป็น 1 ต้นไม้บนหน้ากระดาษเอสี่ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่จะช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และให้ร่มเงาแก่เราได้เสมอไป

ลองเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ เมืองตัวอย่างด้านการปลูกต้นไม้ ที่มีพื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อคน สูงถึง 66 ตารางเมตร ที่มาพร้อมแนวคิดสวนแนวตั้ง และหลังคาสีเขียว ในขณะที่กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวต่อคนเพียงแค่ 6 ตารางเมตร เท่านั้น นี่ถือเป็นเครื่องเตือนใจว่าการปลูกต้นไม้อย่างเดียว ไม่ได้แปลว่าจะทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสีเขียวได้ทันที เราจึงควรมองไปให้ไกลกว่าพื้นดิน เช่น การลองเปลี่ยนดาดฟ้าให้เป็นสวน เปลี่ยนที่รกร้างให้เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดย่อม หรือเปลี่ยนริมคลองให้กลายเป็นเส้นทางสีเขียวเต็มไปด้วยต้นไม้ นี่อาจเป็นแนวทางที่จะช่วยขยายพื้นที่สีเขียวในเมืองได้อย่างยั่งยืน

ถึงแม้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะสามารถปลูกต้นไม้จนแตะหลักสามล้านต้นได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะวัดความสำเร็จจริงๆ กลับไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการวัดจากร่มเงาที่อยู่ได้นาน อากาศที่สะอาดกว่า และ ชุมชนที่ไม่รู้สึกว่าร้อนจนเหมือนอยู่ในเตาอบ เพราะกรุงเทพฯ ไม่ได้ต้องการต้นไม้มากขึ้น  แต่ต้องการกลยุทธ์สีเขียวที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ การมีส่วนร่วมของผู้คน และความใส่ใจอย่างแท้จริง

บทความล่าสุด
    การโฆษณา